Categories
บทความ

แต่ในโลกของการเงิน การลงทุนคือการซื้อขายหลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือสิ่งที่มีมูลค่า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการทำกำไร

กลไกของการลงทุนเป็นอย่างไร?

ถ้าให้อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ การลงทุนจะเกิดขึ้นเมื่อคุณซื้อสินทรัพย์ในราคาต่ำและขายออกในราคาสูง
ผลตอบแทนการลงทุนเช่นนี้เรียกว่า กำไรจากส่วนต่างของราคา (capital gain)

การได้รับผลตอบแทนจากการขายสินทรัพย์ของคุณเพื่อทำกำไร—หรือได้กำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น—ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างรายได้จากการลงทุน

เมื่อการลงทุนเพิ่มมูลค่าในระหว่างการซื้อขายของคุณ เราเรียกสิ่งนั้นว่า การเพิ่มมูลค่าเงินทุน (appreciation)

หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สามารถเพิ่มมูลค่าได้ เมื่อบริษัทออกสินค้ายอดนิยมตัวใหม่ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดขาย เพิ่มรายได้ให้กับบริษัทและยังเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

พันธบัตรหรือหุ้นกู้บริษัท (corporate bonds) สามารถเพิ่มมูลค่าได้ เมื่อสามารถจ่ายดอกเบี้ย 5% ต่อปี และบริษัทเดียวกันนี้ยังออกพันธบัตรใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยเพียง 4% ซึ่งทำให้พันธบัตรชุดแรกเป็นที่ต้องการมากกว่า

สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ทำให้มีอุปสงค์หรือความต้องการซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้น
บ้านหรือคอนโดอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณได้ทำการรีโนเวทใหม่ หรือสภาพแวดล้อมรอบตัวบ้านดีต่อครอบครัวที่มีลูกหลาน เด็กเล็ก เป็นต้น

นอกจากผลกำไรจากส่วนต่างของราคาและการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์แล้ว การลงทุนสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคุณซื้อและถือครองสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้กับคุณ

แทนที่จะเป็นการทำกำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น เป้าหมายของการลงทุนเพื่อสร้างรายได้คือ การซื้อสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดหรือรายได้อย่างสม่ำเสมอและถือครองไว้โดยไม่ขายออก

ตัวอย่างเช่น หุ้นหลายตัวจ่ายเงินปันผลตอบแทน

แทนที่จะเป็นการซื้อขายหุ้นตามปกติ นักลงทุนสายเงินปันผลจะถือหุ้นไว้และได้กำไรจากรายได้เงินปันผลเป็นหลัก

การลงทุนแบบพื้นฐานมีอะไรบ้าง?

สินทรัพย์หลักที่ผู้คนสามารถลงทุนโดยคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุมค่ามีอยู่ด้วยกันสี่ประเภท ได้แก่ หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์

นอกเหนือจากหลักทรัพย์เหล่านี้แล้ว ยังมีกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนรวมและกองทุนรวมดัชนี (ETF) ที่ซื้อสินทรัพย์เหล่านี้หลากหลายรูปแบบผสมผสานตามวัตถุประสงค์

หมายความว่า ถ้าคุณซื้อกองทุนเหล่านี้ คุณกำลังลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นร้อยหรือพันรายการ

หุ้น (Stocks)

บริษัทขายหุ้นเพื่อระดมเงินมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

การซื้อหุ้นทำให้คุณเป็นเจ้าของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นและทำให้คุณมีส่วนได้ส่วนเสียจากกำไรและขาดทุน
หุ้นบางตัวยังจ่ายเงินปันผล ซึ่งเป็นการปันผลกำไรของบริษัทคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนและเงื่อนไข

เนื่องจากไม่มีการรับประกันผลตอบแทนใดๆ และบริษัทบางแห่งอาจปิดกิจการ จึงทำให้หุ้นมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ

พันธบัตร

หรือตราสารหนี้ สินทรัพย์ที่ทำให้ผู้ลงทุนในพันธบัตรเปรียบเสมือนเป็น “ธนาคาร” เมื่อบริษัทหรือรัฐบาลต้องการระดมทุน การออกพันธบัตรหรือตราสารหนี้ถือเป็นการกู้ยืมเงินดังกล่าวจากนักลงทุน

เมื่อคุณลงทุนในพันธบัตร คุณกำลังให้ผู้ออกพันธบัตรยืมเงินของคุณตามระยะเวลาที่กำหนด

โดยผู้ออกพันธบัตรตกลงจะจ่ายกลับเป็นดอกเบี้ยในอัตราคงที่และคืนเงินตามจำนวนที่คุณลงทุนในพันธบัตรดังกล่าว

เนื่องจากพันธบัตรมีการรับประกันอัตราผลตอบแทนแบบคงที่ พันธบัตรจึงถือเป็นการลงทุนเพื่อรายได้แบบคงที่ จึงถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น
แต่ทว่า ไม่ใช่พันธบัตรทุกตัวจะมีความ “ปลอดภัย” ซะทีเดียว

เนื่องจากพันธบัตรบางตัวออกโดยบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ซึ่งหมายความว่าผู้ออกพันธบัตรดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้เช่นกัน

สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)

สินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ สินค้าทางการเกษตร สินค้าในกลุ่มพลังงาน และโลหะต่างๆ รวมถึงโลหะมีค่า (precious metals)

โดยทั่วไปสินทรัพย์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมและราคาขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด (market demand)

เช่น หากเกิดน้ำท่วมและส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี (อุปทาน) ราคาข้าวสาลีอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดแคลน

การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ “จับต้องได้” หมายถึง การเป็นเจ้าของสินค้า เช่น น้ำมัน ข้าวสาลีและทองคำ ฯลฯ

คุณอาจคิดว่านี่คือวิธีการที่คนส่วนใหญ่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่จริงๆ แล้ว นักลงทุนซื้อสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้โดยใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และสัญญาสิทธิ (Options)

คุณยังสามารถลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านการซื้อหลักทรัพย์อื่นๆ เช่น กองทุนรวมดัชนี (ETF) หรือการซื้อหุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว

และการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง การลงทุนโดยมี Futures & Options (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสัญญาสิทธิ) มักเกี่ยวข้องกับการซื้อขายโดยใช้เงินกู้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ดังนั้น การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เช่นนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)

คุณสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยการซื้อบ้าน อาคาร หรือที่ดิน

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แตกต่างกันไปตามระดับความเสี่ยงและขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา อัตราการเกิดอาชญากรรม การจัดอันดับโรงเรียนของรัฐ และเสถียรภาพของรัฐบาลท้องถิ่น

ผู้ที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของหรือจัดการอสังหาริมทรัพย์เองโดยตรงอาจพิจารณาซื้อหุ้นของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (หรือเรียกสั้นๆ ว่า REIT) และ REIT คือบริษัทที่ใช้อสังหาริมทรัพย์ในการสร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้น โดยส่วนใหญ่ REIT จะจ่ายเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น

กองทุนรวมและกองทุนรวมดัชนี (Mutual Funds and ETFs)

กองทุนรวมและกองทุนรวมดัชนี (ETF) คือการลงทุนในหุ้น พันธบัตรและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมีแบบแผนกลยุทธ์

กองทุนต่างๆ เช่น กองทุน ETF และกองทุนรวม คือการที่คุณลงทุนในสินทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ มากมายจากเงินลงทุนเพียงก้อนเดียวเมื่อคุณซื้อหุ้นของกองทุนดังกล่าว
การกระจายความเสี่ยงง่ายๆ แบบนี้ทำให้กองทุนรวมและกองทุน ETF โดยทั่วไปมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนเพียงรูปแบบเดียว

ขณะเดียวกัน ทั้งกองทุนรวมและกองทุน ETF ถือเป็นกองทุนประเภทหนึ่ง แต่ทั้งสองกองทุนนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย
โดยกองทุนรวมจะทำการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภทและมีการจัดการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเป็นผู้เลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน

กองทุนรวมมักพยายามสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (benchmark index)
โดยมีการจัดการที่ต้องใช้ความพยายามและความใส่ใจตลอดเวลา จึงทำให้การลงทุนในกองทุนรวมทั่วๆ ไปมีราคาสูงกว่ากองทุน ETF

กองทุน ETF ก็มีหลักทรัพย์หลากหลายเป็นร้อยหรือเป็นพันรายการเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม กองทุน ETF ถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้อัตราตอบแทนเท่ากับหรือใกล้เคียงกับดัชนีมาตรฐานอ้างอิงมากที่สุด แทนที่จะพยายาม outperform (ให้ผลตอบแทนมากกว่า) เกณฑ์มาตรฐานตัวใดตัวหนึ่ง

ซึ่งแนวทางการลงทุนเชิงรับแบบนี้หมายความว่าผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณจะไม่เกินค่าเกณฑ์มาตรฐานเฉลี่ย

เนื่องจากกองทุน ETFs ไม่ได้มีการบริหารจัดการเหมือนกองทุนรวม ดังนั้น กองทุน ETF จึงมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนน้อยกว่ากองทุนรวม
และในอดีตที่ผ่านมา กองทุนรวมที่มีการบริหารอย่างแข็งขันจำนวนน้อยมากที่จะให้ผลตอบแทนดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (benchmark index) และกองทุนเชิงรับในระยะยาว

วิธีคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงและการลงทุน

การลงทุนในรูปแบบที่ต่างกันย่อมมาพร้อมกับระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

การยอมรับความเสี่ยงได้หมายความว่าผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณอาจเติบโตเร็วขึ้น ในทำนองเดียวกันคุณก็มีโอกาสที่จะสูญเสียเงินมากขึ้น

ในทางกลับกัน ความเสี่ยงที่น้อยกว่าหมายความว่าคุณอาจได้รับผลตอบแทนช้าลง แต่การลงทุนของคุณก็จะมีความปลอดภัยมากกว่า

การตัดสินใจว่าจะสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนกับการลงทุน เรียกว่า การวัดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance)

หากคุณยอมรับมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและลดลงในระยะสั้นเพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระยะยาวมากขึ้น นั่นคือคุณสามารถยอมรับความเสี่ยงสูงได้

ในทางตรงข้าม คุณอาจรู้สึกสบายใจกับอัตราผลตอบแทนในระดับที่พอดีแต่ใช้เวลานานกว่าและมีความผันผวนน้อยกว่า หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าคุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้น้อย
โดยทั่วไป บรรดาที่ปรึกษาทางการเงินมักจะแนะนำให้คุณยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นหากคุณลงทุนในเป้าหมายระยะยาว เช่น คนหนุ่มสาวลงทุนเพื่อชีวิตในวัยเกษียณ

เพราะคุณยังมีเวลาอีกหลายสิบปีก่อนที่คุณจะได้ใช้เงินเกษียณ และคุณยังอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าในการฟื้นตัวทางการเงิน หากการลงทุนของคุณมีมูลค่าลดลง

ตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P 500 ที่ผ่านจุดต่ำสุดในระยะสั้นหลายต่อหลายครั้ง ซ้ำยังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตกต่ำ แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

แต่ถ้าหากคุณจำเป็นต้องใช้เงินและถอนเงินลงทุนออกในช่วงตลาดขาลง คุณอาจขาดทุนได้
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องพิจารณาระยะเวลาในการลงทุนและสถานการณ์ทางการเงินโดยรวมของคุณ เมื่อคุณคิดจะลงทุน

การวางแผนลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Risk and Diversification)

ไม่ว่าความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของคุณอยู่ในระดับใดก็ตาม หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือ การถือครองสินทรัพย์การลงทุนที่มีความหลากหลาย

เราอาจเคยได้ยินสำนวน “อย่าเสี่ยงเอาทุกอย่างหรือลงทุนลงแรงไปกับสิ่งๆ เดียว”

ในโลกของการลงทุน แนวคิดเช่นนี้เรียกว่า การกระจายความเสี่ยง (diversification) และระดับความเสี่ยงที่ถูกต้องจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความหลากหลายรอบด้านและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

โดยกลไกของมันมีดังนี้: ตัวอย่างเช่น หากตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ตลาดตราสารหนี้บางส่วนอาจร่วงหนัก

หากการลงทุนของคุณมุ่งเน้นไปที่การซื้อพันธบัตร คุณอาจสูญเสียเงินลงทุน แต่ถ้าคุณกระจายการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นเป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสม คุณสามารถจำกัดการขาดทุนได้

การลงทุนอย่างหลากหลายในบริษัทต่างๆ และประเภทสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน คุณจะสามารถรักษาสมดุลการขาดทุนและผลกำไรให้กับการลงทุนของคุณได้

กลยุทธ์การลงทุนเช่นนี้จะทำให้พอร์ตของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัยเมื่อเวลาผ่านไป

คุณจะเริ่มลงทุนได้อย่างไร?

การเริ่มลงทุนนั้นง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากนัก

ต่อไปนี้คือ คำแนะนำในการค้นหาตัวเองว่า วิธีการลงทุนสำหรับมือใหม่แบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ

หากคุณมีเงินทุนไม่มากนักสำหรับการเปิดบัญชีลงทุน และไม่ต้องการเลือกการวิธีการลงทุนด้วยตนเอง ที่ปรึกษาการลงทุนระบบอัตโนมัติหรือ Robo-Advisor อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ

เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนด้วยระบบอัตโนมัติที่จะช่วยคุณลงทุนในพอร์ตที่มีการลงทุนอย่างหลากหลายและสร้างไว้ล่วงหน้า โดยได้ปรับให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของคุณ

หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลและเลือกวิธีการลงทุนด้วยตนเอง คุณอาจเหมาะสำหรับการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์และเลือกการลงทุนด้วยตัวเอง

หากคุณเป็นมือใหม่ โปรดจำไว้ว่าการกระจายความเสี่ยงที่ง่ายที่สุดคือ กองทุนรวมและกองทุน ETF
หากคุณไม่ต้องการเข้าพอร์ตการลงทุนบ่อยนัก และต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ ขอแนะนำให้พูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินที่ทำงานร่วมกับนักลงทุนรายใหม่

การมีที่ปรึกษาทางการเงิน คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมืออาชีพที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งเข้าใจเป้าหมายการลงทุนของคุณ โดยที่ปรึกษาทางการเงินจะช่วยคุณเลือกวิธีการลงทุน รวมถึงช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ตลอดระยะเวลาการลงทุนของคุณ

ไม่ว่าคุณจะเลือกเริ่มลงทุนด้วยวิธีใดก็ตาม โปรดจำไว้ว่าการลงทุนต้องใช้เวลาในระยะยาวและคุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา

ซึ่งก็หมายความว่า คุณต้องยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุนของคุณ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง

เริ่มลงทุนแต่เนิ่นๆ และลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

Jess Emery โฆษกแห่ง Vanguard Funds กล่าวว่า “นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักสร้างความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบด้วยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น การหักเงินเดือน การหักเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีออมทรัพย์”
การลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณได้เปรียบจากการผันผวนในตลาดโดยธรรมชาติ

เมื่อคุณลงทุนอย่างสม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะซื้อหุ้นน้อยลงเมื่อหุ้นมีราคาสูงและจะซื้อหุ้นมากขึ้นเมื่อมีราคาต่ำ

กลยุทธ์การลงทุนเช่นนี้จะช่วยให้คุณจ่ายน้อยกว่าโดยเฉลี่ยต่อหุ้น ซึ่งเป็นหลักการที่รู้จักกันในชื่อ Dollar Cost Averaging (DCA) หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนเป็นงวดๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน
Emery กล่าวว่า “การลงทุนแบบ DCA เช่นนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะลงทุนต่อไปเรื่อยๆ แม้ในช่วงที่ตลาดอยู่ในขาลง”

ควรจำไว้ว่าไม่มีการลงทุนใดที่ไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง แต่หากมีการคำนวณความเสี่ยง คุณอาจได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า

Sandi Bragar กรรมการผู้จัดการบริษัทบริหารความมั่งคั่ง Aspiriant กล่าวว่า “ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนในดัชนี S&P 500 ก็จะได้ผลตอบแทนประจำปีถึง 10%”

“การพลาดโอกาสการลงทุนใน 25 วันที่ให้ผลอบแทนที่ดีที่สุดแม้แต่วันเดียวในช่วงเวลา 30 ปีดังกล่าวจะส่งผลให้คุณได้รับผลตอบแทนประจำปีเพียง 5 % เท่านั้น”

นี่คือคำเตือนว่า อย่าตื่นตระหนกขายสินทรัพย์การลงทุนของคุณออกในช่วงตลาดขาลง

การคาดการณ์ว่ามูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่เป็นเรื่องยาก เพราะในวันที่ตลาดหุ้นได้กำไรมากที่สุดมักจะเกิดหลังจากวันที่ขาดทุนมหาศาล

การลงทุนที่ดีที่สุดเริ่มด้วยการลงทุนในตัวคุณเอง
เรียนรู้ประเภทบัญชีสินทรัพย์สำหรับวัยเกษียณ

เตรียมเงินออมฉุกเฉินของคุณเอาไว้
สร้างแผนการชำระหนี้การศึกษาของคุณที่ยังค้างอยู่ และเมื่อได้ลงมือปฏิบัติตามกลยุทธ์ทางการเงินดังกล่าวของคุณแล้ว ให้มาเริ่มลงทุนด้วยความมั่นใจกันเลย—ใช้เงินของคุณในวันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงของคุณ

แปลบทความจากต้นฉบับ: What Is Investing? How Can You Start Investing? - Forbes Advisor