Categories
บทความ

หลังจากเกิดความลังเลใจ (จากสภาวะเงินเฟ้อชั่วคราว) ธนาคารกลางสหรัฐได้ยืนยันว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับปัญหาราคาสินค้าที่สูงขึ้นด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นมีมูลค่าร่วงลงอย่างกะทันหันและทำให้ตราสารหนี้มีมูลค่าลดลงเช่นกัน จึงเป็นปีที่นักลงทุนต่างเจ็บตัวกันถ้วนหน้า
เมื่อปี 2022 ใกล้จะสิ้นสุด ดัชนี S&P 500 มีการฟื้นตัวจากสภาวะตลาดขาลงที่มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่ทว่ามูลค่ายังคงลดลงถึง 17% ในขณะเขียนบทความนี้

เมื่อมองอนาคตในปี 2023 เราจะเห็นเทรนด์การลงทุน 9 อย่างที่ช่วยแยกแยะให้เห็นระหว่างความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนได้

1. สหรัฐอเมริกายังต้องเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ

เงินเฟ้อคือปัญหาที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากที่สุดในปี 2022

ทุกอย่างได้รับผลกระทบ ตั้งแต่ปั๊มน้ำมันไปจนถึงร้านค้าปลีกต่างๆ หรือแม้แต่เงินสะสมเกษียณอายุ 401(k) ของคุณ นักลงทุนต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและเงินดอลลาร์ที่มีมูลค่าน้อยลงสำหรับการลงทุนในอนาคต

คำถามใหญ่ที่หลายคนกังวลสำหรับปี 2023 คือสภาวะเงินเฟ้อจะลดลงสู่อัตราเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้หรือไม่

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างมีความเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็น่าสังเกตว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดถึงหกครั้งยังใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ

Morningstar คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะผ่อนปรนนโยบายการเงินและลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 3% ภายในสิ้นปี 2023
หากธนาคารกลางดำเนินการเช่นนั้นจริง ก็ไม่ได้ช่วยยับยั้งสภาวะเงินเฟ้อเลย

นั่นแสดงให้เห็นว่าพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อหรือ TIPS (Treasury Inflation Protected Securities) และพันธบัตรออมทรัพย์ I ยังเป็นการลงทุนยอดนิยมในการต่อกรกับสภาวะเงินเฟ้อ

2. สภาวะตลาดยังคงอยู่ในช่วงขาลงอีกยาวนานและต่อเนื่อง

ตลาดหุ้นที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด-19 ร่วงหนักมากและสร้างความเสียหาย

สภาวะตลาดเข้าสู่ช่วงขาลงยาวนานและต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง ทำให้นักลงทุนต้องดิ้นรนมองหาการลงทุนที่มีความปลอดภัย

ถึงแม้ตลาดหุ้นจะพ้นจากสภาพขาลงอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 แล้ว แต่ทว่าราคาตลาดหุ้นยังคงร่วงอยู่ด้วยตัวเลขเปอร์เซ็นต์ถึงสองหลัก

โดยปกติแล้ว พันธบัตรต่างๆ จะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากตลาดช่วงขาลงมากนัก

อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงอย่างกะทันหันส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงตามราคาหุ้นเช่นกัน

ในไตรมาสที่สามของปี 2022 แม้แต่พอร์ตการลงทุนที่ค่อนข้างรัดกุมอย่าง 60/40 (การแบ่งสัดส่วน 60% ลงทุนหุ้นและอีก 40% ลงทุนตราสารหนี้) ยังเสียหายหนักกว่าพอร์ตที่ลงทุนแต่ในหุ้นอย่างเดียว จึงทำให้เกิดคำถามว่าพอร์ตการลงทุนแบบ 60/40 ยังเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ได้ผลอยู่หรือไม่

การทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้นอาจมีความเชื่อมโยงกับการลดอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น รูปแบบการจัดสรรสินทรัพย์แบบดั้งเดิมอาจไปต่อได้ยากในปีถัดไป

ในขณะที่สูตรการลงทุนอย่างการช้อนหุ้น “ในราคาต่ำ” ที่ทำกันอยู่เป็นประจำอาจไม่ใช่ความคิดที่แย่เสมอไป ในปี 2023 นี้ เราอาจเห็นว่านักลงทุนประเภทซื้อสินทรัพย์ถือครองไว้ในระยะยาว อาจต้องมองหาสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมากกว่าตราสารทุน (หุ้น) และตราสารหนี้ (พันธบัตร) เพื่อปกป้องสินทรัพย์ของตนจากตลาดที่ผันผวนจนไม่สามารถคาดเดาได้

3. ลองพิจารณาตัวเลือกการลงทุนรูปแบบอื่น

หากกล่าวถึงการกระจายความเสี่ยงให้กว้างขึ้น ในปี 2023 ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีสำหรับการลงทุนทางเลือกที่ควรพิจารณาให้เข้าไปอยู่ในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยทั่วไป

พอร์ตการลงทุนสำหรับปี 2023—ไม่ว่ามูลค่าสุทธิ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือระยะเวลาในการลงทุนของคุณจะเป็นอย่างไร—คุณควรจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับตัวเลือกการลงทุนที่แตกต่างกัน

เนื่องจากการลงทุนทางเลือกไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างหุ้นและพันธบัตรมากนัก ตัวเลือกการลงทุนในรูปแบบอื่นอาจช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่เกิดจากอัตราเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในหุ้นปันผล (dividend stocks) เพียงอย่างเดียว

โดยก่อนหน้านี้ สินทรัพย์ทางเลือกดังกล่าวสงวนไว้สำหรับนักลงทุนมือฉมังและเทรดเดอร์ที่มีความช่ำชองเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน นักลงทุนรายย่อยมือใหม่ก็สามารถเข้าถึงกลยุทธ์สินทรัพย์ทางเลือกอย่างการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) และการเก็งกำไรอย่างเป็นระบบ (managed futures) ได้โดยง่ายผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETFs) และกองทุนรวมต่างๆ ที่ใช้เงินทุนไม่สูง

ถึงแม้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มสูงกว่ากองทุนทั่วไป แต่ประสิทธิภาพของสินทรัพย์ทางเลือกในการให้ผลตอบแทนอาจมีความคุ้มค่ากับเงินทุนที่สูงขึ้นดังกล่าว

4. พันธบัตรออมทรัพย์ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าซื้อเก็บทำกำไร

แม้ในสถานการณ์เงินเฟ้อเช่นนี้ ยังมีสินทรัพย์การลงทุนที่เพิ่งจะได้รับความนิยมมากขึ้น นั่นก็คือพันธบัตรออมทรัพย์ โดยเฉพาะพันธบัตรชุด Series I

ในเดือนเมษายน ปี 2022 อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรชุด I พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.62% ซึ่งสวนทางกับ S&P ที่ดิ่งลงถึง 15% เมื่อเทียบจากต้นปี

ทำให้นักลงทุนต่างแห่กันซื้อพันธบัตร I ที่ให้อัตราตอบแทนสูงดังกล่าวโดยใช้เงินถึง 979 ล้าน USD ในวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม—ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เข้าซื้อก่อนที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยรายครึ่งปีอีกครั้ง—จนถึงขั้นทำให้เวปไซต์ Treasury Direct เกิดขัดข้อง

ราวกับว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำลังเปิดขายตั๋วคอนเสิร์ต Taylor Swift ซะอย่างนั้น

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจ พันธบัตร I ซึ่งมีอัตราต่ำกว่า 6.89% (ยังถือว่าให้ผลตอบแทนสูง) มีจำหน่ายจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2023

ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถขายออกเป็นเงินสดได้ถึงหนึ่งปีหลังจากซื้อพันธบัตร แต่ก็มีอัตราผลตอบแทนรับประกันซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐ ทำให้เป็นการลงทุนที่เชื่อถือได้

5. จับตาดูกระแสการเลิกจ้างพนักงาน

แฮชแท็ก #layoff #เลย์ออฟ #เลิกจ้าง อาจเป็นแฮชแท็กแห่งปีบนโซเชียลมีเดีย

ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน พนักงานหลายหมื่นคนถูกเลิกจ้างจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta, Amazon, Lyft และ Twitter

ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ ก็มีการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมอื่นที่ต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน

บริษัทสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง Better, Redfin และ Opendoor ได้ลดจำนวนพนักงานลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและราคาบ้านพุ่งสูงทำให้การยื่นขอจำนองหยุดชะงัก จึงไม่สามารถปิดการขายซึ่งส่งผลต่อรายได้ของบริษัท

ขณะเดียวกัน บริษัทมหาชนที่มีเงินหมุนติดขัดต่างพยายามประคองงบดุลของตนไว้ก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในปีหน้าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ซึ่งเคยแข็งแกร่งในอดีต อาจเผชิญกับความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชียวชาญต่างคาดการณ์ว่านักศึกษาจบใหม่ก็ยังมีโอกาสในการหางาน เนื่องจากตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทมากนัก

แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับกลางของอาชีพ (mid-career) ที่มีทักษะประสบการณ์ โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยีอาจได้รับผลกระทบจากตัวเลขอัตราการว่างงานสูง

เนื่องจากหลายบริษัทกำลังหาทางลดจำนวนพนักงานลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเอาใจผู้ถือหุ้น ซึ่งส่งผลให้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวนมากตกงาน

6. ตลาดคริปโทจะฟื้นตัวได้หรือไม่?

มีแนวโน้มว่าปี 2023 สถานการณ์ของ cryptocurrency จะดีขึ้น เนื่องจากในปี 2022 สถานการณ์เลวร้ายขั้นรุนแรงและคงจะไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว

เนื่องจากเหรียญคริปโตหลายตัวที่มีความมั่นคงสูง (stablecoins) สูญเสียมูลค่าในปี 2022 รวมถึง TerraUSD และ Tether ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของคริปโตลดลงอย่างมหาศาลและเงินหลายพันล้านดอลลาร์หายวับในกะพริบตา

ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต แม้แต่ Coinbase ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดยังได้รับความเสียหายจากการสูญเสียมูลค่าและการเลิกจ้างงาน—ยังไม่ต้องพูดถึงกระดานเทรดคริปโต FTX ที่ล้มละลายอย่างกะทันหัน

และในปี 2023 นี้เองคาดว่าธุรกิจ cryptocurrency จะพยายามดึงดูดนักลงทุนด้วยการพูดถึงความมั่นคงทางการเงินของสกุลเหรียญนั้นๆ มากกว่าโปรโมตเหรียญที่ได้รับความนิยมหรือการได้รับแรงสนับสนุนจากบุคคลมีชื่อเสียง

นอกจากนี้ อาจมีความคืบหน้าอย่างมากในการออกกฏระเบียบต่างๆ เพื่อควบคุม cryptocurrency จากรัฐบาลกลางใน Washington, D.C.

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ริเริ่มโครงการระยะ 12 สัปดาห์เพื่อพิสูจน์แนวคิดในการใช้สกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (CBDC) ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนและสมาชิกสภานิติบัญญัติยังคงกระตือรือร้นที่จะพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency

อย่างไรก็ตาม ความคิดที่จะนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้อาจถูกกลบด้วยปัญหาการล้มละลายอย่างกะทันหันของกระดานเทรดคริปโต FTX แทนที่จะสนใจศักยภาพที่ยังไม่ได้นำมาใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าวในระยะยาว

7. โครงการพลังงานหมุนเวียนจะเป็นที่น่าสนใจ

การบังคับใช้กฏหมายใหม่ 2 ฉบับ เช่น กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2021 และกฏหมายบัญญัติการลดอัตราเงินเฟ้อในปี 2022 ทำให้รัฐบาลกลางมีเงินลงทุน 1.2 ล้านล้าน USD สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียน

ในขณะที่ปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทานได้ขัดขวางการพัฒนาพลังงานสะอาดตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงเทคโนโลยีแผงโซลาร์เซลล์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ปี 2023 อาจเป็นปีที่ดีมากสำหรับพลังงานหมุนเวียน
BDO Global ทำนายว่าปี 2023 จะเป็นปีที่มีความคืบหน้าเป็นพิเศษ

สำหรับเทคโนโลยีระบบการจัดเก็บพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาความจุของแบตเตอรี่และการนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันชนิดแยกกันไม่ออก

การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากผู้ผลิตหน้าใหม่อย่าง Rivian, Lucid, Ford และ Chevy อาจทำให้เจ้าตลาดอย่าง Toyota และ Tesla ต้องตกที่นั่งลำบาก

ในขณะเดียวกัน การขาดแคลนก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งในสหภาพยุโรปได้เพิ่มแรงผลักดันให้กับนโยบายแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดมากขึ้น

8. ที่ปรึกษาการลงทุน Robo-Advisors จะได้รับความนิยมมากขึ้น

ข้อมูลล่าสุดจาก Parameter Insights แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยกเลิกการใช้เครื่องมือการลงทุนที่ทำงานด้วยตนเองได้ เช่น ที่ปรึกษาระบบอัตโนมัติและบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในอัตราที่สูงเป็นอย่างมากในปี 2022

มีหลายทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่มีเหตุผลหลักสองข้อซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปคือ:

นักลงทุนที่มีเงินทุนหนากว่าอาจหลั่งไหลไปใช้บริการจากที่ปรึกษาทางการเงินแบบดั้งเดิม ในขณะที่นักลงทุนที่บริหารจัดการเงินลงทุนด้วยตนเองอาจเลือกเก็บเงินสดไว้ก่อนและรอให้ตลาดกลับมาฟื้นตัว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ที่ปรึกษาการลงทุนระบบอัตโนมัติแบบไฮบริด (hybrid robo-advisors)—ซึ่งมีการผสมผสานระหว่างการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึมและการเข้าถึงที่ปรึกษาทางการเงินแบบดั้งเดิม—อาจได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2023

ในช่วงสภาวะเงินเฟ้อ ผู้บริโภคต้องการความคุ้มค่าสำหรับเงินที่ใช้จ่ายมากขึ้น ที่ปรึกษาการลงทุนระบบอัตโนมัติแบบไฮบริดจึงตอบโจทย์ในเรื่องของต้นทุนต่ำ ทั้งยังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และด้วยบริการแบบผสมผสานกันระหว่างระบบ AI และมนุษย์ เช่น การปรับสัดส่วนการลงทุนโดยอัตโนมัติ การลดหย่อนภาษีเงินได้จากการลงทุน และยังสามารถเข้าถึงที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นตัวบุคคล ด้วยต้นทุนค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าการใช้บริการที่ปรึกษาแบบดั้งเดิม—ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนไหวต่อราคา นักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับการได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าเดิม จุดนี้เองที่ทำให้ที่ปรึกษาการลงทุนระบบอัตโนมัติแบบไฮบริด (hybrid robo-advisors) เป็นคำตอบที่ใช่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแต่มีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

9. เตรียมบอกลา TD Ameritrade

คุณซื้อขายกับโบรกเกอร์ออนไลน์หน้าใหม่ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?

ปี 2023 อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณาตัวเลือกของคุณ ถ้าคุณเป็นลูกค้าของ TD Ameritrade
เนื่องจาก Charles Schwab ได้เข้าซื้อกิจการ TD Ameritrade ในปี 2019 จนกระทั่งไม่นานมานี้ ทั้งสองแพลตฟอร์มดังกล่าวต่างดำเนินธุรกิจเคียงข้างกัน

ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2023 และลูกค้า TD จะได้รับแจ้งว่าบัญชีของตนจะถูกโยกย้ายไปยังแพลตฟอร์ม Schwab โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2023

Jonathan Craig หัวหน้าฝ่ายบริการนักลงทุนของ Charles Schwab กล่าวว่า “เรากำลังเข้าใกล้จุดที่บริษัทขนาดใหญ่สองแห่งกำลังรวมเป็นบริษัทเดียวและลูกค้าของ TD Ameritrade กำลังจะกลายเป็นลูกค้าของ Schwab”

โดย Schwab จะใช้เวลาในการโยกย้ายบัญชีและลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนก่อนล่วงหน้าสามเดือนจากการให้สัมภาษณ์ของ Craig และจะมีการโยกย้ายขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์

ขอแนะนำให้ลองอ่านรีวิว Charles Schwab ของเราเพื่อทำความรู้จักเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพลตฟอร์มนี้
หากคุณเป็นลูกค้า TD และพอใจกับบริการของ Schawb คุณก็แค่รอการแจ้งเตือนโยกย้ายบัญชีสำเร็จเท่านั้น

แปลบทความจากต้นฉบับ: Top Investing Trends For 2023 – Forbes Advisor