Categories
บทความ

ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงอัตราส่วน P/E ในเชิงลึก เรียนรู้วิธีการคำนวณอัตราส่วน P/E และทำความเข้าใจว่าอัตราส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบได้อย่างไร

อัตราส่วน P/E คืออะไร?

อัตราส่วน P/E คำนวณจากการหารราคาหุ้นด้วยกำไรของหุ้น

ลองคิดดูแบบนี้: ราคาตลาดของหุ้นจะบ่งบอกว่านักลงทุนยินดีจ่ายเท่าไรเพื่อเป็นเจ้าของหุ้นนั้นๆ แต่อัตราส่วน P/E จะบ่งบอกว่าราคาสะท้อนศักยภาพในทำกำไรของบริษัทได้อย่างแม่นยำหรือไม่และยังบ่งบอกถึงมูลค่าของหุ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ตัวอย่างเช่น หากหุ้นของบริษัทมีการซื้อขายกันที่ 100 USD ต่อหุ้น และบริษัทสร้างรายได้ 4 USD ต่อหุ้นต่อปี อัตราส่วน P/E ของหุ้นของบริษัทจะเท่ากับ 25 (100 / 4)

หรือกล่าวอีกอย่างนึงก็คือ เมื่อพิจารณาจากกำไรปัจจุบันของบริษัท ต้องใช้เวลาถึง 25 ปีของกำไรสะสมถึงจะเท่ากับต้นทุนของการลงทุน

นอกจากหุ้นแล้ว อัตราส่วน P/E ยังใช้คำนวณดัชนีหุ้นทั้งหมดโดยรวม ตัวอย่างเช่น อัตราส่วน P/E ของ S&P 500 ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 28.61 

เนื่องจากราคามีการผันผวนตลอดเวลา อัตราส่วน P/E ของหุ้นและดัชนีหุ้นไม่เคยหยุดนิ่ง นอกจากนี้อัตราส่วน P/E ยังมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อบริษัทรายงานผลกำไร ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นรายไตรมาส

ตัวแปรสามอย่างของอัตราส่วน P/E

แม้ว่าสูตรคำนวณเบื้องหลังอัตราส่วน P/E เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน นั่นคือ—ราคาหารด้วยกำไร—ยังมีหลายวิธีที่ใช้คิดราคาหรือรายได้ที่ใช้ในการคำนวณ

อัตราส่วนราคาต่อกำไรเป็นวิธีที่ใช้คำนวณบ่อยที่สุดโดยใช้ราคาปัจจุบันของหุ้น แม้ว่าจะสามารถใช้ราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนดได้

เมื่อกล่าวถึงในส่วนรายได้ของการคำนวณ อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีที่แตกต่างกันสามวิธีสำหรับอัตราส่วน P/E ซึ่งแต่ละวิธีจะใช้บ่งบอกถึงสิ่งที่แตกต่างกันเกี่ยวกับหุ้นตัวหนึ่ง

การคำนวณหาค่าต่างๆ โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินย้อนหลัง 12 เดือน (TTM)

วิธีหนึ่งในการคำนวณอัตราส่วน P/E คือการใช้รายได้ของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา  ซึ่งเรียกว่าอัตราส่วน P/E ต่อท้ายหรือรายได้สิบสองเดือนที่ผ่านมา (TTM) 

การนำรายได้ในอดีตมาพิจารณามีประโยชน์การใช้ข้อมูลจริงที่มีการรายงานและวิธีการนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการประเมินบริษัท

เว็บไซต์ทางการเงินหลายแห่ง เช่น Google Finance และ Yahoo!

Finance ใช้อัตราส่วน P/E ต่อท้าย แอปฯ การลงทุนยอดนิยม M1 Finance และ Robinhood ก็ใช้ข้อมูลรายได้จาก TTM เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น เวปเหล่านี้แต่ละเวปเพิ่งรายงานอัตราส่วน P/E ของบริษัท Apple ที่ประมาณ 33 (ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2020)

รายได้/กำไรล่วงหน้า (Forward Earnings)

อัตราส่วนราคาต่อกำไรสามารถคำนวณได้ด้วยการประมาณการรายได้ในอนาคตของบริษัท

ในขณะที่อัตราส่วน P/E ล่วงหน้าไม่ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่รายงาน แต่ก็มีประโยชน์ในการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุดที่มีอยู่ นั่นคือการที่ตลาดคาดหวังว่าบริษัทจะดำเนินการอย่างไรในปีต่อๆ ไป

Morningstar ใช้วิธีนี้ ซึ่งเรียกว่า Consensus Forward PE และ Morningstar ใช้วิธีนี้ในการคำนวณ PE ของ Apple ไว้ที่ประมาณ 28 (ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2020)

อัตราส่วน Shiller P/E

วิธีที่สามคือการใช้รายได้เฉลี่ยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างที่รู้จักกันมากที่สุดสำหรับวิธีนี้คือ อัตราส่วน Shiller P/E หรือที่เรียกว่าอัตราส่วน CAP/E (อัตราส่วนกำไรต่อราคาที่ปรับตามวัฏจักร)

อัตราส่วน Shiller PE คำนวณโดยการหารราคาด้วยรายได้เฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโดยปรับตามอัตราเงินเฟ้อ

ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการวัดมูลค่าของดัชนี S&P 500 อัตราส่วน Shiller PE ของ S&P 500 ปัจจุบันอยู่ที่ 30 กว่าเท่านั้น (ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2020)

วิธีการใช้อัตราส่วน P/E

การใช้อัตราส่วน P/E ที่พบบ่อยที่สุดคือการประเมินมูลค่าของหุ้นหรือดัชนี ยิ่งอัตราส่วนสูงเท่าไหร่ หุ้นก็จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับกำไร ยิ่งอัตราส่วนต่ำเท่าไหร่ หุ้นก็จะยิ่งมีราคาต่ำลง

และด้วยวิธีนี้ หุ้นและกองทุนรวมตราสารทุนสามารถจัดประเภทเป็นการลงทุนเพื่อ “การเติบโต” หรือ “เพิ่มมูลค่า”

การลงทุนที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ย อาจจัดประเภทเป็นการลงทุนเพื่อการเติบโต

Amazon ซึ่งปัจจุบันมี PE ประมาณ 123 คือตัวอย่างของบริษัทที่มีการเติบโต การลงทุนที่มีอัตราส่วน P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจะจัดประเภทเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า

Citigroup ซึ่งมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่ำกว่า 9 ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่า

อัตราส่วน P/E สามารถใช้ในการเปรียบเทียบสองบริษัทหรือมากกว่าได้ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทไม่ได้บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าโดยรวมของบริษัท

นอกจากนี้ การเปรียบเทียบราคาหุ้นของบริษัทหนึ่งกับราคาหุ้นของบริษัทอื่นไม่ได้บ่งบอกอะไรนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าที่สัมพันธ์กัน (การดูราคาโดยเปรียบเทียบ) ในการลงทุน

อัตราส่วน P/E และผลตอบแทนของหุ้นในอนาคต

ในขณะที่อัตราส่วน P/E มักใช้บ่อยครั้งในการวัดมูลค่าของบริษัท แต่ความสามารถในการคาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคตนั้นเป็นที่ถกเถียงกัน

อัตราส่วน P/E ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ดีในการระบุการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหรือดัชนีในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างอัตราส่วน P/E ของ S&P 500 และผลตอบแทนในอนาคต

การศึกษาวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วน Shiller P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยบ่งชี้ว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นลดลงกว่าเดิมในช่วง 10 ปีข้างหน้า

การศึกษาล่าสุดพบว่าอัตราส่วน Shiller PE เป็นตัวทำนายผลตอบแทนของตลาดที่เชื่อถือได้ระหว่างปี 1995 ถึง 2020

ในทางกลับกัน การศึกษาของ Vanguard เมื่อเร็วๆ นี้พบว่าอัตราส่วน Shiller PE และการวัดอัตราส่วน P/E อื่นๆ “มีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับผลตอบแทนของหุ้นในอนาคต”

อัตราส่วน P/E vs. ผลตอบแทนของกำไร (Earnings Yield)

อัตราส่วน P/E มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับผลตอบแทนของกำไร เมื่อคำนวณอัตราส่วน P/E ด้วยการหารราคาหุ้นด้วยกำไรและผลตอบแทนของกำไรจะคำนวณด้วยการหารกำไรของหุ้นด้วยราคาปัจจุบันของหุ้น ซึ่งจะแสดงผลกำไรเป็นเปอร์เซนต์ของราคาหุ้น

ผลตอบแทนของกำไรมักถูกเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในปัจจุบัน กล่าวถึงโดยใช้ตัวย่อ BEER (Bond Equity Earnings Yield Ratio) อัตราส่วนนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนจากกำไร

จากการศึกษาพบว่าอัตรา BEER เป็นตัวบ่งชี้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้นที่มีความน่าเชื่อถือ

อัตราส่วน PEG คืออะไร?

อัตราส่วน PEG ยังมีความเกี่ยวข้องกับอัตราส่วน P/E อย่างมีนัยยะสำคัญ อัตราส่วน PEG จะประเมินมูลค่าของบริษัทโดยพิจารณาจากทั้งผลกำไรปัจจุบันและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต โดยจะคำนวณด้วยการหารอัตราส่วน P/E ด้วยอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้ของหุ้น

เช่นนี้เอง นักลงทุนบางคนเชื่อว่าอัตราส่วน PEG เป็นตัววัดมูลค่าที่มีความแม่นยำกว่าอัตราส่วน P/E อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน PEG ตั้งอยู่บนพื้นฐานการประมาณการเติบโตในอนาคตซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับอัตราส่วน P/E ล่วงหน้า